วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2554

งานวิจัย

ผลของการปรับพฤติกรรมทางปัญญาที่มีต่อความมีระเบียบวินัยในตนเองของนักกีฬา
ผู้วิจัย   นางพิมพา   ม่วงศิริธรรม
วัตถุประสงค์ของการวิจัยในครั้งนี้
-เพื่อศึกษาผลของพฤติกรรมทางปัญญาที่มีต่อความมีระเบียบวินัยในตนเองของนักกีฬา
การออกแบบในการวิจัย   แบ่งออกเป็น 3 ระยะคือ
1. เป็นระยะเส้นฐาน
2. เป็นระยะของการปรับพฤติกรรม
3. เป็นระยะติดตามผล
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
1. แบบสอบถามข้อมูลนักกีฬา
2. แบบสำรวจปัญญาพฤติกรรม
3. แบบบันทึกพฤติกรรมความมีระเบียบวินัยในตนเอง
4. แบบบันทึกในการปรับพฤติกรรมทางปัญญา
5. โปรมแกรมการปรับพฤติกรรมทางปัญญา
6. แบบแผนการฝึกทักษะ กีฬาฟุตบอลและแบบฝึก
7. โปรมแกรมการฝึก
8. แบบวัดพฤติกรรมความมีระเบียบวินัยในตนเอง

สรุปผลการวิจัย
         ผลของพฤติกรรมทางปัญญาที่มีต่อความมีระเบียบวินัยในตนเองของนักกีฬากลุ่มทดลอง ในระยะก่อนการทดลอง และระยะติดตามผลแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 นั้นคือ การปรับระดับทางปัญญาทำให้พฤติกรรมความมีระเบียบวินัยในตนเองของนักกีฬาในกลุ่มทดลอง ระยะสิ้นสุดการทดลองและระยะติดตามผลแต่กต่างจากระยะก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
จึงพบว่า คะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมความมีระเบียบวินัยในตนเองของนักกีฬากลุ่มทดลอง  มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 115 และ118.5 สูงกว่าระยะก่อนการทดลอง ดังนั้นพฤติกรรมทางปัญญาของนักกีฬาส่งผลทำให้นักกีฬามีระเบียบวินัยมากขึ้นตามงานวิจัยที่ได้ทดลอง

ความวิตกกังวลที่มีลักษณะเฉพาะสถานการณ์

ความวิตกกังวลที่มีลักษณะเฉพาะสถานการณ์ (State-Anxiety) หรือ (A-State) คือความวิตกกังวลซึ่งเกิดขึ้นในเวลาเฉพาะหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ทำให้เกิดความไม่พึงพอใจหรือเกิดอันตรายมากระตุ้นและแสดงพฤติกรรมโต้ตอบที่สามารถสังเกตได้ในระยะเวลาช่วงที่ถูกกระตุ้นนั้นเป็นภาวะที่บุคคลรู้สึกตึงเครียด หวาดหวั่น กระวนกระวาย ระบบการทำงานของประสาทอัตโนมัติตื่นตัวสูง ซึ่งความรุนแรงและระยะเวลาที่เกิดจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคลซึ่งส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับลักษณะเฉพาะตัวและประสบการณ์ในอดีตของแต่ละบุคคล นอกจากนี้สปิลเบอร์เกอร์ชี้ให้เห็นว่า ระดับความวิตกกังวลแบบสเตทนั้นจะขึ้นอยู่กับความวิตกกังวลแบบเทรทด้วยกล่าวคือบุคคลที่มีความวิตกกังวลแบบเทรทสูงย่อมมีแนวโน้มจะเกิดความวิตกกังวลแบบสเตทได้สูง

ป้ายกำกับ: